การที่ลูกค้าเพิ่มสินค้าลงในตะกร้าแต่ไม่ได้ทำการชำระเงินเป็นปัญหาที่พบบ่อยในการตลาดออนไลน์ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ธุรกิจสูญเสียรายได้ไปอย่างมาก การปรับปรุงอัตราการเรียกคืนตะกร้าสินค้าที่ยังไม่ชำระเงินได้ถึง 20% ถือเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจ และสามารถทำได้จริงด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม รถเข็นที่กู้คืนมาแต่ละคันคือโอกาสในการสร้างรายได้ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
การละทิ้งตะกร้าสินค้าถือเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อร้านค้าออนไลน์เกือบทุกแห่ง โดยเฉลี่ยแล้ว ตะกร้าสินค้าออนไลน์มากกว่า 70% จะถูกละทิ้งก่อนจะชำระเงิน โชคดีที่คุณสามารถกู้คืนยอดขายที่สูญเสียไปได้จำนวนมากด้วยการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ในความเป็นจริง ธุรกิจหลายแห่งพบว่าการกู้คืนตะกร้าสินค้าเพิ่มขึ้นถึง 20% ผ่านความพยายามที่ตรงเป้าหมาย
นี่คือแนวทางสำคัญที่คุณสามารถนำไปใช้ได้:
1. การส่งอีเมลแจ้งเตือน (Email Reminders)
การส่งอีเมลแจ้งเตือนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเรียกคืนตะกร้าสินค้าที่ยังไม่ชำระเงิน ควรวางแผนการส่งอีเมลเป็นลำดับดังนี้:
อีเมลแรก (ภายใน 1-2 ชั่วโมง): ควรส่งอีเมลแรกทันทีหลังจากที่ลูกค้าละทิ้งตะกร้าสินค้าไป เพื่อเตือนความจำและกระตุ้นให้กลับมาดำเนินการต่อ อีเมลนี้ควรมีลิงก์ตรงไปยังตะกร้าสินค้าของลูกค้า และอาจมีรูปสินค้าที่อยู่ในตะกร้าด้วย
อีเมลที่สอง (ภายใน 24 ชั่วโมง): หากยังไม่มีการตอบสนองจากอีเมลแรก ลองส่งอีเมลที่สอง โดยอาจจะเน้นย้ำถึงประโยชน์ของสินค้า หรือสอบถามว่าลูกค้าพบปัญหาในการสั่งซื้อหรือไม่
อีเมลที่สาม (ภายใน 48-72 ชั่วโมง): หากยังไม่สำเร็จ อาจลองเสนอแรงจูงใจเล็กน้อย เช่น ส่วนลดพิเศษ ค่าจัดส่งฟรี หรือของแถม เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
2. การสร้างแรงจูงใจและข้อเสนอพิเศษ
การเสนอสิ่งจูงใจที่เหมาะสมสามารถช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาทำการสั่งซื้อได้:
ส่วนลดพิเศษ: เสนอส่วนลดเล็กน้อยสำหรับสินค้าในตะกร้าที่ถูกละทิ้ง เช่น ลด 5-10% หรือลดตามจำนวนเงินที่กำหนด
ค่าจัดส่งฟรี: การเสนอค่าจัดส่งฟรีเป็นแรงจูงใจที่สำคัญ เพราะค่าจัดส่งมักเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ลูกค้าละทิ้งตะกร้าสินค้า
ของแถม/ของสมนาคุณ: หากสินค้ามีราคาสูง การเสนอของแถมที่เกี่ยวข้องอาจช่วยให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ามากขึ้น
3. การใช้งาน Pop-ups หรือ Exit-intent Pop-ups
เมื่อลูกค้ากำลังจะออกจากหน้าเว็บไซต์ การแสดง Pop-up ที่มีข้อเสนอพิเศษหรือเตือนความจำเกี่ยวกับตะกร้าสินค้าสามารถช่วยดึงความสนใจกลับมาได้:
Pop-up ที่มีข้อเสนอ: อาจเสนอส่วนลดทันทีหากทำการสั่งซื้อในตอนนี้
Exit-intent Pop-up: แสดงเมื่อระบบตรวจจับได้ว่าลูกค้ากำลังจะเลื่อนเมาส์ออกจากหน้าจอ เพื่อนำเสนอข้อความหรือข้อเสนอเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าอยู่ต่อหรือกลับไปที่ตะกร้าสินค้า
4. การใช้โฆษณาแบบ Retargeting
การสร้างโฆษณาแบบ Retargeting บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Facebook, Google หรือ Instagram เพื่อแสดงสินค้าที่อยู่ในตะกร้าที่ยังไม่ชำระเงินของลูกค้า เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเตือนความจำและดึงดูดลูกค้ากลับมายังเว็บไซต์:
เน้นย้ำสินค้าที่สนใจ: แสดงรูปภาพของสินค้าที่ลูกค้าเคยดูหรือใส่ไว้ในตะกร้า
เพิ่มแรงจูงใจ: ในโฆษณาอาจระบุถึงส่วนลดหรือโปรโมชั่นพิเศษที่กำลังเสนออยู่
5. ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ในขั้นตอนการชำระเงิน
บางครั้งปัญหาอาจอยู่ที่ขั้นตอนการชำระเงินที่ซับซ้อนหรือยุ่งยาก:
ลดขั้นตอน: ทำให้กระบวนการชำระเงินง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ควรมีหลายขั้นตอนหรือต้องกรอกข้อมูลจำนวนมาก
แสดงความโปร่งใส: แสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างชัดเจน รวมถึงค่าจัดส่งและภาษี ตั้งแต่เริ่มต้น
ตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย: มีตัวเลือกการชำระเงินที่ลูกค้าคุ้นเคยและใช้งานสะดวก เช่น บัตรเครดิต, พร้อมเพย์, หรือการโอนเงินผ่านธนาคาร
สร้างความน่าเชื่อถือ: แสดงสัญลักษณ์ความปลอดภัย (SSL certificates), รีวิวจากลูกค้า, หรือตราสินค้าที่น่าเชื่อถือ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า
6. การให้ช่องทางการติดต่อที่สะดวก
หากลูกค้าพบปัญหาในขั้นตอนการสั่งซื้อ การมีช่องทางการติดต่อที่สะดวกสามารถช่วยให้พวกเขากลับมาดำเนินการต่อได้:
Live Chat: การมี Live Chat ที่พร้อมให้บริการตลอดเวลาสามารถตอบคำถามหรือแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ทันที
เบอร์โทรศัพท์/อีเมล: ระบุช่องทางการติดต่อที่ชัดเจนในทุกหน้าของเว็บไซต์ โดยเฉพาะในหน้าชำระเงิน
การนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปปรับใช้และทดลองอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณสามารถระบุสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกลุ่มลูกค้าของคุณ และเพิ่มอัตราการเรียกคืนตะกร้าสินค้าที่ยังไม่ชำระเงินได้ตามเป้าหมาย 20% หรืออาจจะสูงกว่านั้น