กลยุทธ์ที่ธุรกิจต่างๆ ให้ความสำคัญมากที่สุดคือการตลาดแบบ Performance Marketing ซึ่งแตกต่างจากการตลาดแบบดั้งเดิมที่เน้นการสร้างการรับรู้แบรนด์เพียงอย่างเดียว การตลาดแบบ Performance Marketing เน้นผลลัพธ์ที่วัดผลได้ เช่น จำนวนคลิก จำนวนลูกค้าเป้าหมาย อัตราการคอนเวอร์ชั่น และยอดขาย แนวทางที่เน้นผลลัพธ์นี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกเม็ดเงินที่ลงทุนไป
Performance Marketing เป็นการตลาดที่เน้นการวัดผลและจ่ายค่าโฆษณาตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง (เช่น ยอดขาย, การคลิก, การลงทะเบียน) ซึ่งจะทำผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลักในการตลาดจะมอบผลตอบแทนจากการลงทุนที่จับต้องได้
การเลือก ช่องทาง ที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินแคมเปญการตลาดแบบ Performance Marketing ให้ประสบความสำเร็จ ด้านล่างนี้คือ ช่องทางหลักที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการตลาดแบบ Performance Marketing และแต่ละช่องทางมีส่วนช่วยต่อความสำเร็จโดยรวมอย่างไร
1. การตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา
การตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา (SEM)หรือการโฆษณาผ่านการค้นหาแบบชำระเงินยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดสำหรับนักการตลาดที่เน้นประสิทธิภาพ แพลตฟอร์มอย่างGoogle AdsและBing Ads ช่วย ให้ธุรกิจต่างๆ สามารถกำหนดเป้าหมายคีย์เวิร์ดเฉพาะที่ลูกค้าเป้าหมายกำลังค้นหาอยู่ได้
ทำไมมันถึงได้ผล:
เข้าถึงผู้ชมที่มีความตั้งใจในการซื้อสูง
ให้ตัวชี้วัดที่สามารถวัดได้ เช่น ต้นทุนต่อคลิก (CPC) และอัตราการแปลง
ช่วยให้สามารถควบคุมงบประมาณและกำหนดเป้าหมายได้อย่างยืดหยุ่น
รูปแบบยอดนิยม:
โฆษณาค้นหา Google
โฆษณาเครือข่ายแสดงผล
โฆษณาช้อปปิ้ง
ตัวอย่าง:บริษัทท่องเที่ยวท้องถิ่นใช้ Google Ads เพื่อกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ที่ค้นหา “รีสอร์ทริมชายหาดที่ดีที่สุดในประเทศไทย” และจ่ายเงินเฉพาะเมื่อมีคนคลิกโฆษณาเท่านั้น
2. การโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการตลาดแบบเน้นประสิทธิภาพ ช่องทางอย่างFacebook , Instagram , TikTok , LinkedInและX (Twitter)มีตัวเลือกการกำหนดเป้าหมายอย่างละเอียดที่ช่วยให้นักโฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะตามข้อมูลประชากร ความสนใจ และพฤติกรรม
ทำไมมันถึงได้ผล:
การมีส่วนร่วมสูงและดึงดูดสายตา
ความสามารถในการติดตามข้อมูลและการกำหนดเป้าหมายใหม่ที่ยอดเยี่ยม
ใช้งานได้กับแคมเปญทั้ง B2C และ B2B
รูปแบบโฆษณายอดนิยม:
โฆษณาแบบหมุน
โฆษณาวิดีโอ
โฆษณาสร้างโอกาสในการขาย
โฆษณาผลิตภัณฑ์แบบไดนามิก
ตัวอย่าง:แบรนด์แฟชั่นออนไลน์ใช้โฆษณา Facebook เพื่อกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของตนมาก่อน และแสดงคำแนะนำผลิตภัณฑ์แบบเฉพาะบุคคลให้กับพวกเขา
3. การโฆษณาแบบแสดงภาพ
การโฆษณาแบบดิสเพลย์ คือการวางโฆษณาแบนเนอร์ ภาพแบบอินเทอร์แอคทีฟ หรือวิดีโอ บนเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือแพลตฟอร์มต่างๆ ภายในเครือข่าย เช่นGoogle Display Network (GDN)โฆษณาเหล่านี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างและกำหนดเป้าหมายใหม่กับผู้เข้าชมเดิม
ทำไมมันถึงได้ผล:
สร้างการมองเห็นแบรนด์และรองรับการกำหนดเป้าหมายใหม่
เสนอผลลัพธ์ที่วัดผลได้ เช่น จำนวนการแสดงผล คลิก และการแปลง
สามารถปรับแต่งได้ผ่านการทดสอบ A/B
ตัวอย่าง:เครือโรงแรมแห่งหนึ่งใช้โฆษณาแบบแสดงเพื่อดึงดูดผู้ใช้ที่ดูหน้าการจองแต่ไม่ได้ดำเนินการจองให้เสร็จสิ้นให้กลับมาอีกครั้ง
4. การตลาดแบบพันธมิตร
การตลาดแบบพันธมิตรเป็นรูปแบบที่อิงตามประสิทธิภาพ โดยที่ธุรกิจต่างๆ ร่วมมือกับผู้จัดพิมพ์หรือผู้มีอิทธิพลที่ส่งเสริมผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเพื่อแลกกับคอมมิชชันต่อการขายหรือการสร้างลูกค้าเป้าหมาย
ทำไมมันถึงได้ผล:
ขยายการเข้าถึงผ่านเสียงที่เชื่อถือได้
จ่ายเฉพาะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง (รูปแบบ CPA)
สร้างความน่าเชื่อถือและการรับรู้แบรนด์ไปพร้อมๆ กัน
ตัวอย่าง:บริษัทซอฟต์แวร์ร่วมมือกับบล็อกเกอร์ด้านเทคโนโลยีที่ทำการวิจารณ์และแนะนำผลิตภัณฑ์ของตน บริษัทจ่ายค่าคอมมิชชันสำหรับการซื้อแต่ละครั้งที่ทำผ่านลิงก์เฉพาะของผู้ร่วมงาน
5. การตลาดแบบมีอิทธิพล
แม้ว่า การตลาดแบบมีอิทธิพลมักจะถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของโซเชียลมีเดีย แต่ การตลาดแบบมีอิทธิพล ยังสามารถขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพได้หากมีโครงสร้างรอบ KPI ที่วัดผลได้ เช่น อัตราการคลิกผ่านหรือลิงก์ติดตามการแปลง
ทำไมมันถึงได้ผล:
ใช้ประโยชน์จากความไว้วางใจและความแท้จริงของผู้มีอิทธิพล
ขับเคลื่อนอัตราการมีส่วนร่วมที่สูงขึ้น
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับไลฟ์สไตล์ แฟชั่น อาหาร และการท่องเที่ยว
ตัวอย่าง:แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลด้านความงามเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ใหม่โดยใช้โค้ดส่วนลดพิเศษ ช่วยให้ติดตามการแปลงได้อย่างแม่นยำ
6. การตลาดผ่านอีเมล
การตลาดผ่านอีเมลยังคงเป็นช่องทางที่คุ้มค่าและวัดผลได้สำหรับการสร้างลูกค้าเป้าหมายและกระตุ้นยอดขาย ด้วยแคมเปญที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล ธุรกิจต่างๆ สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มด้วยข้อเสนอหรือเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจง
ทำไมมันถึงได้ผล:
ROI สูง (มักอ้างถึงผลตอบแทน 36 ดอลลาร์สำหรับทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ใช้จ่าย)
ติดตามอัตราการเปิด อัตราการคลิกผ่าน และการแปลงได้อย่างง่ายดาย
เหมาะสำหรับการทำการตลาดซ้ำและแคมเปญการรักษาฐานลูกค้า
ตัวอย่าง:ร้านค้าอีคอมเมิร์ซส่งอีเมลแจ้งเตือนการละทิ้งตะกร้าสินค้าอัตโนมัติเพื่อเตือนลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าที่ลืมไว้
7. การโฆษณาแบบเนทีฟ
โฆษณาแบบเนทีฟผสานเข้ากับเนื้อหาบนแพลตฟอร์มที่โฆษณาปรากฏได้อย่างลงตัว มอบประสบการณ์การใช้งานที่ไม่รบกวนผู้ใช้ แพลตฟอร์มอย่างTaboola , OutbrainและYahoo Nativeได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเพื่อจุดประสงค์นี้
ทำไมมันถึงได้ผล:
การมีส่วนร่วมสูงเนื่องจากความเกี่ยวข้องตามบริบท
มีประสิทธิผลสำหรับการเล่าเรื่องและการศึกษาเกี่ยวกับแบรนด์
วัดผลได้อย่างง่ายดายผ่าน CTR และการติดตามการแปลง
ตัวอย่าง:บริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่งเผยแพร่บทความที่ได้รับการสนับสนุนเกี่ยวกับ “เกาะที่ซ่อนเร้นที่สุดในประเทศไทย” ซึ่งมีคำกระตุ้นการตัดสินใจในการจองทัวร์อย่างแนบเนียน
8. การโฆษณาผ่านวิดีโอ
วิดีโอเป็นหนึ่งในรูปแบบที่ดึงดูดผู้ชมออนไลน์มากที่สุด แพลตฟอร์มอย่างYouTube , TikTokและMeta Adsช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างแคมเปญวิดีโอที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการรับรู้และนำไปสู่ยอดขาย
ทำไมมันถึงได้ผล:
ศักยภาพในการเล่าเรื่องที่แข็งแกร่ง
มอบข้อมูลที่สามารถวัดผลได้ (เวลาในการดู การมีส่วนร่วม การแปลง)
สามารถบูรณาการองค์ประกอบแบบโต้ตอบและ CTA ได้
ตัวอย่าง:แอปฟิตเนสแสดงโฆษณา YouTube ความยาว 15 วินาทีโดยแสดงผลการออกกำลังกายจริง เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปทันที
9. การโฆษณาแบบโปรแกรม
การโฆษณาตามโปรแกรมใช้ AI และการเสนอราคาแบบเรียลไทม์เพื่อซื้อและเพิ่มประสิทธิภาพตำแหน่งโฆษณาดิจิทัลบนเว็บไซต์และแพลตฟอร์มต่างๆ โดยอัตโนมัติ
ทำไมมันถึงได้ผล:
การกำหนดเป้าหมายอย่างแม่นยำโดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูล
การเพิ่มประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์เพื่อโฆษณาที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด
การจัดการการใช้จ่ายโฆษณาอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง:บริษัทท่องเที่ยวใช้โฆษณาตามโปรแกรมเพื่อกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ที่วางแผนเดินทางต่างประเทศ โดยปรับราคาเสนอแบบไดนามิกตามประสิทธิภาพการมีส่วนร่วม
10. การตลาดซ้ำและการกำหนดเป้าหมายใหม่
เทคนิคเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดผู้ใช้ที่เคยโต้ตอบกับเว็บไซต์หรือแอปของแบรนด์มาก่อนแต่ไม่ได้ทำ Conversion กลับมาอีกครั้งนักการตลาดสามารถส่งข้อความหรือข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการ ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google Ads , Facebook PixelและCriteo ได้
ทำไมมันถึงได้ผล:
กลุ่มเป้าหมายที่อบอุ่นมีแนวโน้มที่จะแปลง
ปรับปรุง ROI โดยเพิ่มปริมาณการเข้าชมที่มีอยู่ให้สูงสุด
รองรับการบูรณาการหลายช่องทาง
ตัวอย่าง:ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์กำหนดเป้าหมายใหม่ให้กับผู้เยี่ยมชมที่ดูรุ่นแล็ปท็อปรุ่นเฉพาะด้วยโฆษณาส่วนลดระยะเวลาจำกัด
การตลาดแบบ Performance Marketing เติบโตได้ดีด้วยข้อมูล การเพิ่มประสิทธิภาพ และผลกระทบที่วัดผลได้การผสมผสานช่องทางต่างๆ อย่างมีกลยุทธ์ เช่น การค้นหา โซเชียลมีเดีย อีเมล และการแสดงผล ช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญที่ไม่เพียงแต่เพิ่มการมองเห็น แต่ยังเพิ่มอัตราการแปลงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
กุญแจสู่ความสำเร็จอยู่ที่การติดตามผลอย่างต่อเนื่องการทดสอบ A/Bและการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเมื่อระบบนิเวศดิจิทัลพัฒนา นักการตลาดที่ใช้ประโยชน์จากช่องทางประสิทธิภาพที่เหมาะสมจะยังคงได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นและการเติบโตในระยะยาว
